วันศุกร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2560
การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์
1. การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ คืออะไร มีความจำเป็นหรือไม่ อย่างไรจะต้องพัฒนารูปแบบการสอนดังกล่าวนี้
ตอบ คือ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ต่างๆ รูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาสติปัญญาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบการสอนที่เหมาะสมกับการสอนชีววิทยา เคมี และฟิสิกส์ เพื่อพัฒนาบุคคลการเลือกรูปแบบการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนและชั้นเรียนการทดลองสอนตามรูปแบการสอนที่พัฒนาขึ้น
มีความจำเป็นอย่างมาก ในการสอนวิทยาศาสตร์ เราไม่สามารถที่จะสอนในรูปแบบชองการบรรยายอย่างเดียวได้ เด็กจะไม่สามารถเกิดการเรียนรู้และเกิดความเข้าใจได้ เด็กจะไม่เกิดกระบวนการเรียนรู้จากการสอนแบบบรรยายเราจึงต้องใช้การสอนในหลายรูปแบบ การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์จึงช่วยให้เด็กพัฒนาสติปัญญาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เนื่องจากการจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียนโดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์รับมือกับเหตุการณ์และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อกระบวนการการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ
2. จงวิเคราะห์สภาพการจัดการเรียนการสอน วิชาวิทยาศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานมีประเด็นใดบ้างที่ควรนำมาเป็นปัญหาเร่งด่วนที่จะต้องวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ประเด็นที่ 1 ผู้สอนขาดความรู้หรือทักษะในการจัดการเรียนการสอนขาดความชำนาญในการใช้สื่อการสอน ขาดกระบวนการทักษะในการสื่อสาร
ประเด็นที่ 2 ผู้สอนยังคงใช้การบรรยายมากกว่าการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
ประเด็นที่ 3 ขาดเครื่องมืออุปกรณ์วิทยาศาสตร์และสารเคมีที่จะต้องใช้ ในการจัดการเรียนการสอน
ประเด็นที่ 4 ผู้เรียนแต่ละคนมีพื้นฐานความรู้ที่ไม่เท่ากันทำให้ผู้สอนไม่สามารถกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ได้อย่างชัดเจน
ประเด็นที่ 5 ระยะเวลาในการจัดการเรียนการสอนมีจำกัดจึงทำให้ไม่เพียงพอ ในการทำกิจกรรมการเรียนการสอนในบางครั้ง เช่น การทำการทดลองต่างๆ
3. หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ที่นำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนปัจจุบันมีความเป็นไปได้เพียงใด ในการจัดการศึกษา 3.0 และเมื่อรัฐบาลประกาศจัดการศึกษา 4.0 จะมีความเป็นไปได้หรือไม่ อย่างไร
ตอบ การจัดการศึกษา 3.0 คือ แนวคิดทางการเรียนรู้ที่ทั้งสถาบันการศึกษาและผู้เรียนสามารถเชื่อมต่อถึงกันผ่าน เครื่อข่ายเน็ตเวิร์กได้จากการสถานที่ในทุกเวลา
เพราะเทคโนโลยีการเรียนรู้แบบต่างๆ ตลอดจนการเรียนรู้เทคโนโลยีเสมือนจริง (Immersive Leaming) จะก้าวเข้ามามีบทบาทในการประสานกระบานการเรียน การสอนในสถาบันการศึกษาจริงและการเรียนรู้ทางไกลทั้งปัจจุบันและอนาคต
การจัดการศึกษา 4.0 คือ การเรียนการสอนที่สอนให้นักศึกษาสามารถนำองค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกหนทุกแห่งมาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์เพื่อพัฒนา นวัตกรรมต่างๆ มาตอบสนองความต้องการทางสังคม
ประกอบด้วย 3 ปัจจัย คือ
1 Intemet
2 ความคิดสร้างสรรค์
3 การปฏิสัมพันธ์กับสังคม
ดังนั้น หลักการ แนวคิด ทฤษฎี ของการจัดการศึกษา 3.0 และ 4.0 มีความเป็นไปได้ที่จะนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพราะปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับคนเป็นอย่างมาก
แต่ความพร้อมของแต่ละพื้นที่อาจไม่เท่าเทียมกัน เพราะบางพื้นที่อยู่ห่างไกลความเจริญด้านเทคโนโลยี
4. นักศึกษามีความคิดเห็นต่อการเรียน รายวิชา 1042404 การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์อย่างไรบ้าง มีความคาดหวังต่อการเรียนรู้รายวิชาดังกล่าวนี้เพื่อที่จะนำไปใช้ในอาชีพครูที่มีคุณภาพมาตรฐานวิชาชีพครู (ตามครุสภากำหนด) โดยสรุป
- มีความคิดเห็นต่อวิชา การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์ เป็นวิชาที่ใช้ปัญหาเป็นฐานเพื่อพัฒนาทักษะกระบวนการคิดแก้ปัญหาของนักเรียน โดยใช้วิธีการต่างๆ ที่ได้เรียนรู้มาปรับใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ
- และหวังว่าจะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปใช่เชื่อมโยงในการจัดการเรียนการสอนและพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนในชั้นเรียนของวิชาวิทยาศาสตร์ให้มีศักยภาพที่สูง ตามคุณภาพมาตรฐานวิชาชีพครู (ตามครุสภากำหนด) มาตรฐาน 6 การจัดการเรียนรู้และการจักการชั้นเรียนโดยนำปัญหาที่พบในการเรียนการสอนที่เป็นปัญหามาเป็นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนเพื่อเป็นทักษะความคิด เจตกติ สมรรถนะของผู้เรียน
ก่อนออกทดลองสอนและหลังทดลองสอนเป็นอย่างไรบ้าง
-ก่อนออกทดลองสอน
ก่อนออกทดลองสอนมีการเตรียมความพร้อมในทุกๆด้านไม่ว่าจะเป็นการวางแผน กรจัดการ การทบทวน หรือแม้กระทั้งการเขียนให้ครบถ้วนและถูกต้องซึ่งก่อนออกอาจจะมีความตื่นเต้นบ้างเล็กน้อยจึงทำให้ไปช่วงแรกๆปรับตัวยังไม่ค่อยได้ ยังไม่สามารถรู้วิธีควบคุมชั้นเรียนให้ดีกว่านี้ พอเริ่มอยู่หลายวันอาจมีการปรับตัวที่ดีขึ้น รู้วิธีควบคุมชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น และยัง (พึงปฏิบัติตามมาตรฐานการปฏิบัติตนตามข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ)
-หลังทดลองสอน
มีการปรับปรุงที่ดีขึ้น รู้ข้อบกพร่องของตัวเอง และยังสามารถนำเอาประสบการณ์ที่ได้ในโรงเรียนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน หรือแม้กระทั้งได้ข้อแนะนำจากครูพี่เลี้ยงมาบ้าง รู้วิธีการจัดการกับเด็กและคุมชั้นเรียนให้อยู่ รู้ว่าเด็กชอบการเรียนการสอนแบบไหนก็นำมาปรับใช้ให้น่าเรียนมากยิ่งขึ้น เด็กจะไม่ชอบการสอนแบบบรรยายเพราะดูน่าเบื่อและไม่น่าสนใจ ซึ่งถ้านำมาเปรียบเทียบทั้งก่อนออกทดลองสอนและหลังทดลองสอนนี้ พบว่าก่อนออกอาจจะยังไม่รู้วิธีที่จะสอนยังไงให้เด็กอยากเรียน แต่พอได้ไปอยู่โรงเรียนเป็นระยะเวลา 2 อาทิตย์ เราได้ประสบการณ์มากมายจากโรงเรียน รู้วิธีคุมชั้นเรียน จัดการเรียนการสอนได้ให้เด็กสนใจ ซึ่งนำเอามาแก้ไขหรือปรับใส่ความรู้เดิมที่เรามีอยู่แล้วได้มาก
นางสาววัชรินธร อุปชัย
รหัสนักศึกษา 5641060136
ห้อง 12 เอกวิทยาศาสตร์ทั่วไป
วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560
สถิติเพื่อการวิจัย
สถิติเพื่อการวิจัย (กลุ่ม D)
สถิติเพื่อการวิจัย
ความหมายของการวิจัย
กระบวนการหาความรู้ความจริงใหม่ ที่มีระบบแบบแผนตามหลักวิชา อาศัยหลักเหตุผล ที่รอบคอบ รัดกุม ละเอียดและเชื่อถือได้ และความรู้ความจริงนั้นจะนำไปเป็นหลักการ ทฤษฎี หรือ ข้อปฏิบัติที่ทำให้มนุษย์ได้รับรู้และนำไปใช้เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตด้วยความสงบสุขหรือป้องกันและหลีกเลี่ยงภัยอันตรายต่าง ๆ ได้
สถิติในการวิจัย
คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลในเชิงปริมาณอย่างเป็นระบบ ซึ่งในการวิจัยจะใช้สถิติหาคุณภาพของเครื่องมือ และใช้ในการกำหนดขนาดของตัวอย่างให้เหมาะสมกับประชากร และสำหรับวิเคราะห์ข้อมูล แต่ก่อนทำการวิเคราะห์ข้อมูลนั้น ผู้วิจัยจะต้องคำนึงถึง ข้อจำกัดของสถิติแต่ละตัว และความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของงานวิจัย
ประเภทของข้อมูลมีความสำคัญมาก สำหรับการนำข้อมูลไปวิเคราะห์ทางสถิติ เพราะสถิติแต่ละตัวมีข้อจำกัดในการนำไปวิเคราะห์ ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของข้อมูล ฉะนั้นผู้วิจัยจะต้องมีความรู้ว่าข้อมูลแต่ละตัวอยู่ในประเภทใด ซึ่งข้อมูลทางการวิจัยมีอยู่หลายประเภท ดังต่อไปนี้
1. นามบัญญัติ (Nominal Scale)
ข้อมูลประเภทนี้เป็นข้อมูลที่แบ่งเป็นกลุ่มเป็นประเภท ที่แยกออกจากกัน เช่น เพศ แบ่งเป็น ชาย, หญิง อาชีพ แบ่งเป็น ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ ค้าขาย เป็นต้นข้อมูลเหล่านี้จะใช้ สถิติง่าย ๆ ในการคำนวณ คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงตัวแทนของชื่อกลุ่มเท่านั้น
จะนำไป บวก ลบ คูณ หาร กันไม่ได้ในทางสถิติ เพราะไม่มีความหมาย
2. เรียงอันดับ (Ordinal Scale)
ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่ใช้จัดอันดับของสิ่งต่าง ๆ โดยเรียงอันดับของข้อมูลตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้จากสูงสุดไปหาต่ำสุด เช่น ลำดับที่ของการสอบลำดับของการประกวดสิ่งต่าง ๆ หรือความนิยมเป็นต้น ซึ่งจะนำไป บวก ลบ คูณ หาร กันไม่ได้เช่นกัน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ
3. อันตรภาค (Interval Scale)
ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่บอกถึงความแตกต่างระหว่างค่าที่วัดได้แต่ละช่วง ที่มีความห่างเท่ากัน ทุกช่วง เป็นข้อมูลที่เป็นตัวเลข สามารถ บวก ลบ กันได้ แต่ไม่มีศูนย์แท้ เช่น อุณหภูมิ ระดับทัศนคติ , ระดับความคิดเห็น โดยแปลความหมายจากแบบสอบถามที่เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า หรือ คะแนนสอบ 0 – 100 ซึ่งช่วงของตัวเลขจะแบ่งเท่า ๆ กัน และมีค่าเป็นศูนย์ไม่แท้เพราะ ตัวเลข 0 ไม่ได้ มีความหมายว่า ไม่มี แต่ตามความเป็นจริงแล้วยังมีค่าอยู่
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์คือ ความถี่ สัดส่วน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน และสถิติชั้นสูงทุกตัว
4. อัตราส่วน (Ratio Scale)
ข้อมูลประเภทนี้ เป็นข้อมูลที่ใช้วัดในระดับสูง สามารถบวก ลบ คูณ หาร ได้ และมีศูนย์แท้ เช่น น้ำหนัก, ความเร็ว ความกว้าง ความหนา พื้นที่ จำนวนเงิน, อายุ ระยะทาง ซึ่งถ้ามีค่าเป็น 0 หมายถึง ไม่มี
ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปวิเคราะห์กับสถิติได้ทุกตัว
หลักการเลือกใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
การพิจารณาว่าจะใช้สถิติใดในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยจะต้องพิจารณา องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับหลักการทางสถิติ 3 ประการดังนี้
1. ลักษณะของตัวอย่างที่นำมาศึกษา ตัวอย่างที่นำมาศึกษานั้นได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างหรือไม่ หากมีการสุ่มตัวอย่างจึงจะใช้สถิติแบบพาราเมตริก (Parametric statistic) แต่ถ้าไม่มีการสุ่มตัวอย่างจะต้องใช้สถิติแบบนอน พาราเมตริก (Nonparametric statistic )
2. ประเภทของข้อมูล ลักษณะของข้อมูลที่วัดได้มี 4 ประเภท สถิติบางอย่างสามารถใช้ได้กับข้อมูลทุกระดับ แต่บางอย่างใช้ได้กับข้อมูลบางระดับก่อนตัดสินใจว่าจะใช้สถิติใดในการวิเคราะห์ ข้อมูล ผู้วิจัยควรพิจารณาว่า ข้อมูลที่รวบรวมมาได้นั้นเป็นข้อมูลระดับใดเสียก่อน เพื่อจะได้เลือกใช้สถิติได้ถูกต้อง
3. จุดมุ่งหมายของการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาว่าวัตถุประสงค์ของการวิจัยนั้นมีกี่ตัวแปร มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายลักษณะ ข้อเท็จจริงของตัวแปร หรือต้องการเปรียบเทียบ หรือ ต้องการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร ต้องมีการทดสอบสมมุติฐานอะไรบ้าง จึงจะสามารถเลือกใช้สถิติได้ถูกต้อง
สถิติที่ใช้ในวิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัย
สถิติพื้นฐาน ได้แก่ สถิติวิเคราะห์เพื่อแสดงความหมายทั่วไปของ ข้อมูล และใช้เป็น พื้นฐานในการคำนวณสถิติขั้นสูงต่อไป ซึ่งสถิติพื้นฐานได้แก่
1.1 การแจกแจงความถี่ (frequency)
1.2 การวัดแนวโน้มเข้าสู่ส่วนกลาง ได้แก่
- ค่าเฉลี่ย (Mean)
- มัธยฐาน (Median)
- ฐานนิยม (Mode)
1.3 การวัดการกระจาย ได้แก่
- พิสัย (Range)
- ความเบี่ยงเบน มาตรฐาน (Standard Deviation)
- ความแปรปรวน (Variance)
สถิติสำหรับการทดสอบสมมติฐาน เป็นสถิติที่ใช้สำหรับการวิเคราะห์เพื่อทดสอบสมมติฐานว่าเป็นจริงตามที่กำหนดไว้หรือไม่ ได้แก่
1.1 การทดสอบความแตกต่างระหว่างกลุ่ม ได้แก่ t-test F-test และ ไคสแควร์ (chi-square)
1.2 การหาความสัมพันธ์ ระหว่างข้อมูลตั้งแต่ 2 ชุดขึ้นไป ได้แก่ การหาสัมประสิทธิ์ สหสัมพันธ์ (correlation)
1.3 การพยากรณ์ (regression)
การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์
โปรแกรมสำเร็จรูปที่ใช้ในการวิจัยมีหลายโปรแกรม ที่นิยมใช้กันมากในปัจจุบันได้แก่ โปรแกรม SPSS for Win (Statistical Package for Social Sciences for windows)
การเตรียมข้อมูลสำหรับการวิเคราะห์ทางสถิติ มีดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูล
2. กำหนดหมายเลขลงบนเครื่องมือที่เก็บรวบรวมข้อมูล (Running Number)
3. สร้างคู่มือลงรหัสของตัวแปรในเครื่องมือ (code book )
4. พิจารณาว่าข้อมูลที่ได้มาเป็นข้อมูลประเภทใด เพื่อจะได้เลือกใช้สถิติสำหรับการวิจัยได้อย่างเหมาะสม
5. การเตรียมคำสั่ง คำสั่งที่จะต้องใช้ในการปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ โดย
5.1 คำสั่งรายการข้อมูล (data list ) เป็นการเขียนคำสั่งตามคู่มือลงรหัสที่กำหนด เพื่อให้เข้าใจตรงกันระหว่างผู้วิจัยกับคอมพิวเตอร์
5.2 กำหนดสถิติที่ต้องการใช้ ผู้วิจัยจะต้องกำหนดได้ว่าข้อมูลที่บันทึกลงในคอมพิวเตอร์นั้นต้องการให้วิเคราะห์โดยใช้สถิติใด
6. ประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ ให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลตามคำสั่งที่กำหนดไว้
กระดาษฟลิปชาร์ท สถิติเพื่อการวิจัย









นางสาววัชรินธร อุปชัย รหัสนักศึกษา 5641060136
สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ทั่วไป กลุ่ม 12 รุ่น 56 คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
ข้อสอบความรู้พื้นฐานด้านวิจัย
แบบทดสอบวิชาวิจัยทางการศึกษา
คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี ข้อสอบกลางภาควิชาวิจัยทางการศึกษา
ชื่อนักศึกษา : นางสาววัชรินธร อุปชัย รหัสประจำตัว 5641060136
คำชี้แจง จงใช้คำถามในตอนที่ 1 ตอบคำถามโดยกลุ่มร่วมมือกันแสวงหาคำตอบที่ถูกต้อง ส่วนคำตอบ /ตัวเลือกที่ไม่ถูกต้องให้ระบุหรืออธิบายว่าไม่ถูกต้องอย่างไร
ตอนที่ 1 จงเลือกคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว
1. การวิจัยทางการศึกษา คือ ข้อใด
ก. การศึกษาหาความจริงด้วยวิธีการเชิงระบบ
ข. การค้นหาความจริงและสรุปรายงาน
ค. การศึกษาความรู้ด้วยวิธีการที่เป็นที่ยอมรับ
ง. การศึกษาตามกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
2. ข้อความใดที่ปรากฎทั้งขอบเขตการวิจัยและวิธีดำเนินการวิจัย
ก. ปัญหาวิจัย
ข. ตัวแปรศึกษา
ค. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ง. ระยะเวลาในการศึกษาวิจัย
3. การวิจัยในชั้นเรียนเป็นการวิจัยตามข้อใด
ก. การวิจัยแก้ปัญหาของผู้เรียนในอดีต
ข. การวิจัยพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ค. การวิจัยในกระบวนการเรียนรู้
ง. การวิจัยพัฒนาการเรียนการสอน
4. ลักษณะการวิจัยที่ดีมีเรื่องใดสำคัญที่สุด
ก. มีความเที่ยงตรงภายใน
ข. มีความเชื่อมั่น
ค. มีความเป็นปรนัย
ง. มีการวิเคราะห์แบบผสม(Mix Method)
ตอนที่ 2 จงเขียนคำตอบลงในช่องว่างที่กำหนดให้ กรณีที่ไม่พอเขียนให้เขียนที่ด้านหลังกระดาษ
ให้นักศึกษาเลือกสาระ มาตรฐานและตัวชี้วัด ในการเตรียมตัวทดลองสอน และนำเสนอกระบวนการพัฒนาการสอน ตามขั้นตอนกระบวนการวิจัยในชั้นเรียน ตามลำดับต่อไปนี้
ชื่อเรื่อง แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง อัตราเร็ว
มาตรฐาน ว 4.1 เข้าใจธรรมชาติของแรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงโน้มถ่วง และแรงนิวเคลียร์ มีกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สื่อสารสิ่งที่เรียนรู้และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องและมีคุณธรรม
ตัวชี้วัด
ว 4.1 ม.1/๒ ทดลองและอธิบายระยะทางการกระจัด อัตราเร็ว และความเร็ว ในการเคลื่อนที่ของวัตถุ
1. วิเคราะห์ความต้องการเรียนรู้/พัฒนาการเรียนรู้ (ระบุจุดมุ่งหมายการเรียนรู้-แผนจัดการเรียนรู้ สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ และ เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้)
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายอัตราเร็วและอัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของวัตถุได้ (K)
2. อภิปรายอัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของวัตถุได้ (K)
3. ทดลองอัตราเร็วและอัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของวัตถุได้ (P)
4. สื่อสารและนำความรู้ เรื่องอัตราเร็ว ไปใช้ในชีวิตประจำวัน (P)
5. รู้จักการทำงานเป็นทีม (A)
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ : ห้องวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัดผลการเรียนรู้
๑. ใบความรู้ที่ 1 เรื่อง อัตราเร็ว จากหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ ม.1 เล่มที่ 2
๒. ใบกิจกรรมที่ 1 เรื่อง อัตราเร็วเฉลี่ย
๓. ตารางแสดงสถิติของการแข่งขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร (ชาย) จากสมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทยในนพระบรมราชูปถัมภ์ (พ.ศ. 2546)
2. วางแผนจัดประสบการณ์/การเรียนรู้
กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E)
1. ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูสนทนาและซักถามนักเรียนเกี่ยวกับปัญจัยที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนที่ของวัตถุ ในเรื่อง อัตราเร็ว โดยครูมีตารางแสดงสถิติของการแข่งขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร (ชาย) มาให้นัดเรียนดู ดังนี้
ตารางแสดงสถิติของการแข่งขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร (ชาย)
รายการแข่งขัน
เวลาที่ใช้ (วินาที)
ประเทศไทย (พ.ศ. 2541)
10.23
โอลิมปิก (พ.ศ. 2539)
09.84
เอเซียนเกมส์ (พ.ศ. 2541)
10.00
ซีเกมส์ (พ.ศ. 2542)
10.26
หมายเหตุ : ข้อมูลจาการางเป็นสถิติของนักกรีฑาไทย
ที่มา : สมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทยในนพระบรมราชูปถัมภ์ (พ.ศ. 2546)
จากตาราง
- นักกรีฑารายการแข่งขันใดวิ่งได้เร็วที่สุด (แนวคำตอบ : โอลิมปิก เพราะใช้เวลาน้อยกว่ารายการแข่งขันอื่นๆ)
- นักกรีฑารายการแข่งขันใดวิ่งได้ช้าที่สุด (แนวคำตอบ : ซีเกมส์ เพราะใช้เวลามากกว่ารายการแข่งขันอื่นๆ)
- ตัวเลขดังกล่าวใช้แทนปริมาณใด (แนวคำตอบ : ปริมาณสเกลาร์)
2. ขั้นสำรวจและค้นหา
2.1 ครูแจกใบความรู้ที่ 1 เรื่องอัตราเร็ว ให้กับนักเรียนและให้นักเรียนศึกษาเรื่องอัตราเร็วก่อนจะทำกิจกรรม
2.2 แบ่งนักเรียนออกเป็น 6 กลุ่ม กลุ่มละ 8 คน ครูแจกใบกิจกรรมที่ 1 เรื่องสำรวจอัตราเร็วเฉลี่ย ตามขั้นตอนที่วางแผนไว้ดังนี้
1. ใช้ไม้เมตรหรือเครื่องมือวัดระยะทาง 4 เมตร แล้วใช้เทปกาวทำเครื่องหมายที่จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด
2. ให้สมาชิกแต่ละคนภายในกลุ่มผลัดกันวิ่งตามระยะทางที่จัดทำไว้โดยให้เพื่อนสมาชิกในกลุ่มใช้นาฬิกาจับเวลาการเดินของสมาชิกแต่ละคน แล้วบันทึกข้อมูลในตารางบันทึกผล
3. ทำเหมือนกับข้อ 2 แต่เปลี่ยนจากการเดินเป็นวิ่ง เดินถอยหลัง และเดินเขย่งเท้าข้างเดียว ตามลำดับ
4. คำนวณหาอัตราเร็วเฉลี่ยของการเดิน วิ่ง เดินถอยหลัง ละเดินเขย่งเท้าข้างเดียวของแต่ละกลุ่ม
5. สรุปผลจากตารางบันทึกผล
3. ขั้นอธิบายและลงข้อสรุป
3.1 ให้นักเรียนส่งตัวแทนของแต่ละกลุ่มออกมานำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมหน้าชั้นเรียน
3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายผลการปฏิบัติกิจกรรมอัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของวัตถุโดยใช้แนวคำถามดังต่อไปนี้
- นักเรียนคิดว่าคลาดเคลื่อนของกิจกรรมในครั้งนี้เกิดจากอะไร
(แนวคำตอบ : 1. การอ่านค่าเวลาจากนาฬิกา (จับเวลา) ของผู้ปฏิบัติกิจกรรม ระหว่างจุดเริ่มต้น ถึงจุดสุดท้าย
2. ความสม่ำเสมอของการเดินในลักษณะต่าง ๆ ของผู้ปฏิบัติกิจกรรม
3. ทักษะการคิดคำนวณของผู้ปฏิบัติกิจกรรม)
3.3 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายให้ได้ข้อสรุปดังนี้
อัตราเร็วเฉลี่ยของการเดินบอกเราว่า เราเดินเร็วหรือเดินช้าในแต่ละครั้ง คำนวณได้จากสมการนี้
4. ขั้นขยายความรู้
4.1 ครูแจกโจทย์เรื่องอัตราเร็ว กลุ่มละ 1 ข้อ ให้นักเรียนช่วยกันคิดและออกมาเขียนวิธีทำบนกระดานดำหน้าชั้นเรียน
4.2 ครูและนักเรียนช่วยกันเฉลยโจทย์ที่ครูให้ออกมาแสดงวิธีทำหน้าชั้นเรียน
5. ขั้นประเมิน
5.1 ครูให้นักเรียนแต่ละคนพิจารณาว่า จากหัวข้อที่เรียนมาและกิจกรรมที่ทำ มีจุดใดบ้างที่ยังไม่เข้าใจหรือยังมีข้อสงสัย ถ้ามีให้ครูช่วยอธิบายเพิ่มเติมให้นักเรียนเข้าใจ
5.2 ครูทดสอบความเข้าใจของนักเรียนโดยการให้ตอบคำถาม เช่น
- อัตราเร็วเป็นปริมาณใด เพราะอะไร (แนวคำตอบ : ปริมาณสเกลาร์ เพราะเราสนใจขนาดของระยะทางเพียงอย่างเดียว ไม่ได้นใจทิศทาง)
- อัตราเร็ว คือ อะไร (แนวคำตอบ : อัตราส่วนระหว่างระยะทางที่เคลื่อนที่ได้กับเวลาที่ใช้ในการเคลื่อนที่ )
- หน่วยของอัตราเร็ว คืออะไร (แนวคำตอบ : เมตรต่อวินาที )
- ระยะทาง มีหน่วยคืออะไร (แนวคำตอบ : เมตร)
- เวลา มีหน่วยคืออะไร (แนวคำตอบ : วินาที )
5.3 ครูประเมินโดยการสังเกตพฤติกรรมขณะนักเรียนทำงานร่วมกันภายในกลุ่ม และประเมินจากการทำกิจกรรม
3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตาม DRU และกลุ่มย่อย
๑. ออกแบบแผนการจัดการเรียนรู้ที่ ๑ เรื่อง อัตราเร็ว
๒. FE
- ใบความรู้ที่ ๑ เรื่อง อัตราเร็ว
- ตารางแสดงสถิติของการแข่งขันวิ่งทางตรงระยะทาง 100 เมตร (ชาย)
๓. การจัดการเรียนรู้แบบ 5E (สืบเสาะหาความรู้)
๔. NFE (กลวิธี)
- กิจกรรมเรื่อง สำรวจอัตราเร็วเฉลี่ย
- ใบกิจกรรมเรื่อง อัตราเร็ว
๕. ตรวจสอบ
- ใบประเมินพฤติกรรมรายกลุ่ม
- การตอบคำถามในชั้นเรียน
๖. IEF = แลกเปลี่ยนความรู้ในขั้นที่ ๓ ของการจัดการเรียนรู้แบบ 5E (สืบเสาะหาความรู้)
4. ประเมินผลการเรียนรู้
จุดประสงค์การเรียนรู้
วิธีการประเมิน
เครื่องมือ
เกณฑ์การผ่านการประเมิน
- นักเรียนสามารถทดลองและอธิบายอัตราเร็วและอัตราเร็วเฉลี่ยในการเคลื่อนที่ของวัตถุได้ (K)
- สังเกตจากคำตอบในกิจกรรมเรื่องสำรวจอัตราเร็วเฉลี่ย
- แบบบันทึกกิจกรรม เรื่องสำรวจอัตราเร็วเฉลี่ย
- ข้อคำถามจากกิจรรม
5 คะแนน
ขึ้นไปถือว่าผ่าน
( คะแนนเต็ม 10)
- นักเรียนสามารถสื่อสารและนำความรู้ เรื่องอัตราเร็ว ไปใช้ในชีวิตประจำวัน (P)
-การตอบคำถามในชั้นเรียน
-การแสดงความคิดเห็นในห้องเรียน
-การรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
-ความสนใจในการทำกิจกรรม
-การมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม
- แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
ช่วงคะแนน 0-5 = ปรับปรุง
5-10 = พอใช้
10-15 = ดี
15-20 = ดีเยี่ยม
( คะแนนเต็ม 20)
- นักเรียนสามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ (A)
5. รายงานผลการเรียนรู้
ผลการเรียนรู้ของผู้เรียน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ปัญหาและอุปสรรค
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
การดำเนินการแก้ไขและพัฒนาของผู้สอน
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลงชื่อ……………………………………….ผู้ตรวจแผนการสอน
(…………………………………………..)
วันที่ …….เดือน ………………………พ.ศ……..
วันพุธที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
ความหมาย DRU Model
ความหมาย DRU Model
การจัดการเรียนรู้ DRU Model เพื่อส่งเสริม Meta cognition 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (D:Diagnosis of Needs) แนวคิดของ Taba (1962 :10) เชื่อว่า ครูผู้สอน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์หน่วยการสอนและการเรียนรู้ให้ผู้เรียน และได้นำเสนอขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 7 ขั้น ดังนี้
1.1 การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs)
1.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives)
1.3 การเลือกเนื้อหา (selection of content)
1.4 การจัดองค์ประกอบของเนื้อหา (organization of content)
1.5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (selection of learning experiences)
1.6 การจัดองค์ประกอบของประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences)
1.7 การวินิจฉัยว่าสิ่งที่จะประเมิน(การเรียนรู้)คืออะไร จะใช้วิธีการและเครื่องมือวัดใดในประเมิน(การเรียนรู้)
2. ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (R-Research into identifying effective learning environments )
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (learning environment) คือการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในวิชาที่เรียน คือ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หน่วยงานการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st centuryskills.org) ได้เสนอแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้คือระบบสนับสนุนที่จัดสรรเพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เป็นระบบที่รองรับความต้องการเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคน และสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการรวมเอาโครงสร้าง เครื่องมือ และชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน และนักการศึกษาเพื่อจะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21
3. การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้(U-Universal Design for Learning and Assessment)
Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การนำหลักการ universal design มาใช้ในการศึกษาจึงเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลาย การนำ UDL มาใช้ก็เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การพัฒนาแผนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนได้นำแนวคิดการออกแบบสากลเพื่อการเรียนรู้(UDL) มาใช้เพื่อช่วยครูผู้สอนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนทุกคน การวางแผนการประเมินดังกล่าวนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการประเมินความรู้และทักษะที่สนับสนุนให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในจุดหมายของการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ DRU Model เพื่อส่งเสริม Meta cognition 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (D:Diagnosis of Needs) แนวคิดของ Taba (1962 :10) เชื่อว่า ครูผู้สอน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์หน่วยการสอนและการเรียนรู้ให้ผู้เรียน และได้นำเสนอขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 7 ขั้น ดังนี้
1.1 การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs)
1.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives)
1.3 การเลือกเนื้อหา (selection of content)
1.4 การจัดองค์ประกอบของเนื้อหา (organization of content)
1.5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (selection of learning experiences)
1.6 การจัดองค์ประกอบของประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences)
1.7 การวินิจฉัยว่าสิ่งที่จะประเมิน(การเรียนรู้)คืออะไร จะใช้วิธีการและเครื่องมือวัดใดในประเมิน(การเรียนรู้)
2. ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (R-Research into identifying effective learning environments )
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (learning environment) คือการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในวิชาที่เรียน คือ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หน่วยงานการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st centuryskills.org) ได้เสนอแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้คือระบบสนับสนุนที่จัดสรรเพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เป็นระบบที่รองรับความต้องการเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคน และสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการรวมเอาโครงสร้าง เครื่องมือ และชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน และนักการศึกษาเพื่อจะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21
3. การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้(U-Universal Design for Learning and Assessment)
Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การนำหลักการ universal design มาใช้ในการศึกษาจึงเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลาย การนำ UDL มาใช้ก็เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การพัฒนาแผนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนได้นำแนวคิดการออกแบบสากลเพื่อการเรียนรู้(UDL) มาใช้เพื่อช่วยครูผู้สอนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนทุกคน การวางแผนการประเมินดังกล่าวนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการประเมินความรู้และทักษะที่สนับสนุนให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในจุดหมายของการเรียนรู้
ความหมายDRU
ความหมาย DRU Model
การจัดการเรียนรู้ DRU Model เพื่อส่งเสริม Meta cognition 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (D:Diagnosis of Needs) แนวคิดของ Taba (1962 :10) เชื่อว่า ครูผู้สอน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์หน่วยการสอนและการเรียนรู้ให้ผู้เรียน และได้นำเสนอขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 7 ขั้น ดังนี้
1.1 การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs)
1.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives)
1.3 การเลือกเนื้อหา (selection of content)
1.4 การจัดองค์ประกอบของเนื้อหา (organization of content)
1.5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (selection of learning experiences)
1.6 การจัดองค์ประกอบของประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences)
1.7 การวินิจฉัยว่าสิ่งที่จะประเมิน(การเรียนรู้)คืออะไร จะใช้วิธีการและเครื่องมือวัดใดในประเมิน(การเรียนรู้)
2. ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (R-Research into identifying effective learning environments )
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (learning environment) คือการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในวิชาที่เรียน คือ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หน่วยงานการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st centuryskills.org) ได้เสนอแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้คือระบบสนับสนุนที่จัดสรรเพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เป็นระบบที่รองรับความต้องการเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคน และสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการรวมเอาโครงสร้าง เครื่องมือ และชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน และนักการศึกษาเพื่อจะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21
3. การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้(U-Universal Design for Learning and Assessment)
Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การนำหลักการ universal design มาใช้ในการศึกษาจึงเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลาย การนำ UDL มาใช้ก็เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การพัฒนาแผนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนได้นำแนวคิดการออกแบบสากลเพื่อการเรียนรู้(UDL) มาใช้เพื่อช่วยครูผู้สอนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนทุกคน การวางแผนการประเมินดังกล่าวนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการประเมินความรู้และทักษะที่สนับสนุนให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในจุดหมายของการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้ DRU Model เพื่อส่งเสริม Meta cognition 3 ขั้นตอน ดังนี้
1. การวินิจฉัยความต้องการในการเรียนรู้ (D:Diagnosis of Needs) แนวคิดของ Taba (1962 :10) เชื่อว่า ครูผู้สอน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างสรรค์หน่วยการสอนและการเรียนรู้ให้ผู้เรียน และได้นำเสนอขั้นตอนที่เกี่ยวข้อง 7 ขั้น ดังนี้
1.1 การวินิจฉัยความต้องการ (diagnosis of needs)
1.2 การกำหนดวัตถุประสงค์ (formulation of objectives)
1.3 การเลือกเนื้อหา (selection of content)
1.4 การจัดองค์ประกอบของเนื้อหา (organization of content)
1.5 การเลือกประสบการณ์การเรียนรู้ (selection of learning experiences)
1.6 การจัดองค์ประกอบของประสบการณ์การเรียนรู้ (organization of learning experiences)
1.7 การวินิจฉัยว่าสิ่งที่จะประเมิน(การเรียนรู้)คืออะไร จะใช้วิธีการและเครื่องมือวัดใดในประเมิน(การเรียนรู้)
2. ขั้นการวิจัยเพื่อกำหนดสิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (R-Research into identifying effective learning environments )
สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้ (learning environment) คือการจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายในวิชาที่เรียน คือ ผลการเรียนรู้ สมรรถนะ และคุณลักษณะที่พึงประสงค์ หน่วยงานการศึกษาทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 (21st centuryskills.org) ได้เสนอแนวคิดว่า สิ่งแวดล้อมการเรียนรู้คือระบบสนับสนุนที่จัดสรรเพื่อให้มนุษย์เกิดการเรียนรู้ที่ดีที่สุด เป็นระบบที่รองรับความต้องการเพื่อการเรียนรู้ที่เป็นเอกลักษณ์ของผู้เรียนทุกคน และสนับสนุนความสัมพันธ์กับมนุษย์ในทางที่เป็นประโยชน์ เพื่อการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นการรวมเอาโครงสร้าง เครื่องมือ และชุมชนที่สร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียน และนักการศึกษาเพื่อจะบรรลุความรู้และทักษะในศตวรรษที่ 21
3. การตรวจสอบทบทวนโดยใช้แนวคิด UDL เพื่อการประเมินการพัฒนาการเรียนรู้(U-Universal Design for Learning and Assessment)
Universal Design (UD) เป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับคนทุกคนโดยไม่เฉพาะเจาะจงว่าเป็นใครคนใดคนหนึ่ง ดังนั้น การนำหลักการ universal design มาใช้ในการศึกษาจึงเป็นการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่มีความต้องการหลากหลาย การนำ UDL มาใช้ก็เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมทางการเรียนรู้ให้เหมะสมกับความต้องการของผู้เรียนแต่ละคนและส่งเสริมให้ผู้เรียนได้พัฒนาความสามารถของตนเองได้เต็มตามศักยภาพ การพัฒนาแผนการประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนได้นำแนวคิดการออกแบบสากลเพื่อการเรียนรู้(UDL) มาใช้เพื่อช่วยครูผู้สอนได้ปฏิบัติตามขั้นตอนต่าง ๆเพื่อปรับปรุงผลการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนทุกคน การวางแผนการประเมินดังกล่าวนี้เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนทุกคนจะได้รับการประเมินความรู้และทักษะที่สนับสนุนให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จในจุดหมายของการเรียนรู้
วันเสาร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560
การวิจัยทางการศึกษาและการพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์
รหัสวิชา: 1042401
ชื่อวิชา การวิจัยทางการศึกษา
คำอธิบายรายวิชา
การศึกษาความหมายทฤษฎีการวิจัยและลักษณะของการวิจัย ประโยชน์และความสำคัญของการวิจัย จรรยาบรรณนักวิจัย รูปแบบการวิจัย การออกแบบการวิจัย กระบวนการวิจัย สถิติเพื่อการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียนการเสนอโครงการเพื่อทำวิจัยการฝึกปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาการเขียนรายงานการวิจัยการนำเสนอผลการวิจัย การศึกษาค้นคว้างานวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ การใช้กระบวนการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน
รหัสวิชา: 1024104
ชื่อวิชา การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์
คำอธิบายรายวิชา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์แบบต่างๆรูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาสติปปัญญาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบที่การสอนที่เหมาะสมกับการสอนชีววิทยา เคมี และฟิกส์เพื่อพัฒนาบุคคลการเลือกรูปแบบการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนและชั้นเรียน การทดลองสอนตามรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น
ชื่อวิชา การวิจัยทางการศึกษา
คำอธิบายรายวิชา
การศึกษาความหมายทฤษฎีการวิจัยและลักษณะของการวิจัย ประโยชน์และความสำคัญของการวิจัย จรรยาบรรณนักวิจัย รูปแบบการวิจัย การออกแบบการวิจัย กระบวนการวิจัย สถิติเพื่อการวิจัย การวิจัยในชั้นเรียนการเสนอโครงการเพื่อทำวิจัยการฝึกปฏิบัติการวิจัยทางการศึกษาการเขียนรายงานการวิจัยการนำเสนอผลการวิจัย การศึกษาค้นคว้างานวิจัยเพื่อพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ การใช้กระบวนการวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผู้เรียน
รหัสวิชา: 1024104
ชื่อวิชา การพัฒนารูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์
คำอธิบายรายวิชา
ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับรูปแบบการสอนวิทยาศาสตร์แบบต่างๆรูปแบบการสอนเพื่อพัฒนาสติปปัญญาและทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบที่การสอนที่เหมาะสมกับการสอนชีววิทยา เคมี และฟิกส์เพื่อพัฒนาบุคคลการเลือกรูปแบบการสอนให้เหมาะสมกับนักเรียนและชั้นเรียน การทดลองสอนตามรูปแบบการสอนที่พัฒนาขึ้น